BThemes

BTricks

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

ทัศนศึกษาของโรงเรียน 5 ตุลาคม 55

                                                                 ทัศนศึกษา
   วัดอันสวยงาม
ร่าง ปู่เหลือ นักพรต ผู้บำเพ็ญเพียร
ปู่เหลือ เป็น...นักพรต ผู้ทรงศีล ถือศีล เคร่งวิปัสสนา
 ...สั่งสานุศิษย์ว่า เมื่อสิ้นชีวิตแล้ว อย่าฉีดยา อย่าเผา อย่าฝัง ให้ใส่ผอบแก้วไว้ ... ด้วยอัศจรรย์ ร่างไม่ได้เปื่อยเน่า และสานุศิษย์บอกว่า เส้นผมของปู่เหลือ จะเป็นสีดำ และเป็นสีขาว สลับสับเปลี่ยน แบบนี้อยู่เรื่อยๆ (ดำก็ดำล้วน ขาวก็ขาวล้วน) ..วันที่ผมไปศาลาแก้วกู่ เป็นวันที่ 26 ต.ค. 2550 (ปู่เหลือสิ้นมาแล้ว ประมาณ 10 ปี) เส้นผมที่ได้เห็นในร่างสงบ ในผอบแก้ว(ไม่ใช่โรงเย็น เป็นผอบครอบแก้วธรรมดา) เป็นเส้นผมสีดำ
...ร่างปู่เหลืออยู่ภายในอาคารชั้นที่ 3 ของศาลาแก้วกู่ ซึ่งในแต่ละชั้นมีพระพุทธรูป เก่าแก่ต่างๆ ซึ่งนำมาจากฝั่งลาว เมื่อย้ายที่มาตั้งที่หนองคาย
ไหว้ ปู่เหลือ นักพรต ผู้บำเพ็ญเพียร
...ชั้น 3 ของอาคารศาลาแก้วกู่ ไหว้ ปู่ เหลือ นักพรตผู้บำเพ็ญเพียร ความดี ก่อตั้งศาลาแก้วกู่ อุทยานเทวาลัย ให้ศาสนายั่งยืน คงความศรัทธา เครื่องเตือนใจให้ ผู้คนสร้างคุณงาม ความดี
ศาลาแก้วกู่ (วัดแขก) อุทยานเทวาลัย จังหวัดหนองคาย (สำนักพุทธมามกสมาคม จังหวัดหนองคาย) แหล่งท่องเที่ยว ห่างจากตัวเมืองหนองคายเพียง 3 กม. ด้วยความอลังการ งานสร้างด้วยความศรัทธา ยิ่งใหญ่
*** ศาลาแก้วกู่ สร้างโดยปรารถนาให้ที่แห่งนี้เป็น เมืองอมตะแก้วกู่มหานิพพาน หรือดินแดนแห่งการหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง เชื่อว่า ทุกศาสนาผสมผสานกันได้ ...ตั้งอยู่ ชุมชนสามัคคี อ.เมือง จ.หนองคาย ในพื้นที่ 42 ไร่ รูปปั้น ทั้งเล็กใหญ่แล้วว่ากันว่ามีไม่น้อยกว่าหลักพัน
*** ศาลาแก้วกู่สร้างขึ้นโดย “ปู่บุญเหลือ สุรีรัตน์” หรือ “ปู่เหลือ” ( พ.ศ. 2476 – 2539 ) ซึ่งมีประวัติชีวิตและผลงานอัศจรรย์ โดยย่อ ดังนี้ นางคำปลิว สุรีรัตน์ (พี่สาวคนโตของปู่เหลือ) ชาวหนองคาย แต่งงานได้ระยะหนึ่ง ฝันว่ามีชีปะขาวนำ นาคมรกตมามอบให้ แต่บอกว่าอีก 7 เดือนค่อยไปรับมาเป็นของตน ต่อมาแม่ตั้งท้องลูกคนที่เจ็ด ในวัยสูงอายุและหมดประจำเดือนแล้ว และคลอดเมื่ออายุครรภ์ได้ 7 เดือน ทุกคนจึงเชื่อว่าเป็นไปตามนิมิตในฝัน นางคำปลิวและสามี จึงรับน้องชายมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ตั้งแต่แรกเกิด

....ด.ช.บุญเหลือชอบเข้าวัดมาแต่เด็ก พออายุได้หกขวบนางคำปลิวเสียชีวิตลง สามีนางคำปลิวมีภรรยาใหม่ ด.ช.บุญเหลือจึงกลับไปอยู่กับ พ่อแม่ผู้ให้กำเนิด แต่มักขัดขวางห้ามปรามผู้ใหญ่ในทางบาปต่างๆ จึงไม่เป็นที่รักใคร่ของญาติพี่น้อง ครั้นอายุ 12 ปี ทนความกดดัน รอบข้างไม่ไหว จึงหนีออกจากบ้านรอนแรม ไปจนพบสำนักอาศรมแก้วกู่ในเขตแดนลาว และได้ฝากตัวศึกษาเล่าเรียนปฏิบัติธรรมอยู่กับ พระมุนีที่นั่น จนอายุครบ 20 ปี พระมุนีจึงให้ออกจากสำนัก ไปจาริกแสวงบุญโปรดญาติโยมทั้งใกล้และไกล เมื่ออายุ 30 ปี จึงได้กลับมาปรนนิบัติตอบแทนคุณในวาระสุดท้ายของชีวิตพ่อแม่ ก่อนแม่สิ้นบุญในปี 2507 ได้มอบที่ดิน 8 ไร่ ณ บ้านเชียงควาน เมืองท่าเดื่อ เวียงจันท์ ไว้เป็นมรดก

...ปี พ.ศ. 2513 ปู่เหลือได้พัฒนาที่ดินดังกล่าวสร้างเป็น “ปูชนียสถานเทวาลัยอย่างมหึมา” พุทธศาสนิกชนทั้งในภาคพื้นยุโรป และเอเชียเลื่อมใสมาก แต่เมื่อเกิดเหตุวิกฤตในราชอาณาจักรลาวเมื่อปี พ.ศ. 2518 หลวงปู่จึงพาลูกศิษย์ข้ามโขงมา และรวมกันจัดตั้งเป็น “พุทธมามกสมาคมจังหวัดหนองคาย” โดยกรมการศาสนารับรองให้ในปี พ.ศ. 2519

... ปี พ.ศ. 2521 สานุศิษย์ได้จัดซื้อที่ดินราว 41 ไร่ ในเขตบ้านสามัคคี ต.หาดคำ ถวายให้เป็นที่ตั้งสำนักจวบจนปัจจุบัน ต้นปี พ.ศ.2527 ปู่เหลือถูกใส่ความ และมีผู้ไปแจ้งตำรวจตั้งข้อหาฉกรรจ์ (ซึ่งทางสำนักขอสงวนไว้) ต้องอยู่ในเรือนจำจนถึง ปลายปี 2529 เมื่อออกมาแล้วก็สร้างเทวรูป อีกมากมาย ทั้งเล็กและใหญ่ และทั้งขนาดที่สูงถึง 33 เมตร เมื่อสร้างทั้งพุทธรูปและเทวรูปถึง 209 ปางแล้ว ก็สร้างศาลาแก้วกู่หลังใหม่ โดยรื้อหลังเก่า (พ.ศ.2523 – 2538) ที่ทรุดโทรมลง ขณะก่อสร้างศาลาหลังใหม่ ปู่เหลือก็ล้มป่วย และต่อมาได้เสียชีวิตลงในเดือนสิงหาคม 2539 สานุศิษย์ได้นำผอบ (ผะ-อบ) แก้วใส่ร่างของท่านไว้ ตามความประสงค์ก่อนสิ้นชีวิต”
เทวาลัย ภาพถ่ายมุมมอง จากอาคารศาลาแก้วกู่
...ภาพถ่าย ถ่ายจากอาคารศาลาแก้วกู่ เห็นวิวมุมบนของ อุทยานเทวาลัย
อีกมุม ความอลังการ ศาลาแก้วกู่
...อีกมุมสวยๆ ในอุทยานเทวาลัย ศาลาแก้วกู่ สังเกตสุดทางเดิน สีแดงๆ เป็นเื้สื้อคน เปรียบเทียบให้เห็น ถึงขนาด และความอลังการ
เทวาลัย ขนาดใหญ่ หน้าอาคารศาลาแก้วกู่
...เทวาลัย ยิ่งใหญ่สุดอลังการ บริเวณด้านหน้า อาคาร ศาลาแก้วกู่
อีกมุมสวยๆ และอลังการ ภายในศาลาแก้วกู่


ศาลาแก้วกู่ ยิ่งใหญ่ อลังการ เหมือนเมือง อีกเมืองหนึ่ง ที่ตื่นตาตื่นใจ และให้ความรู้ด้านศาสนา และการทำความดี มีเทวาลัยมากมาย และกำลังก่อสร้าง เพิ่ม อยู่เรื่อยๆ
เทวาลัย เจ้าชายสิทธัตถะ ปลงพระเกษ ริมฝั่งแม่น้ำอโนมานะที
เทวาลัยปางนี้ คือ พระเจ้าสิทธัตถะ ได้ เสด็จหนีทิ้งราชสมบัติเวียงวัง จนถึงแม่น้ำอโนมานะที พระองค์จึงทรงอธิษฐานตัดเกษพระโมลี ณ ที่ ฝั่งแม่น้ำอโนมานะที เสร็จแล้วพระองค์ จึงได้ตั้งสัจจะอธิษฐาน เสี่ยงพระโมลีว่า ถ้าจะได้ตรัสรู้ เป็นพระโพธิญาณ สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ขอให้ พระเกษลอยขึ้นฟ้าเบื้องบน เมื่อนั้นท่านท้าวสักกะเทวราช ได้ถือผะอบมารองรับพระเกษของพระองค์หน่อพุทธังกูล จึงได้นำไปบรรจุที่พระธาตุ เกษแก้วจุฬมะณี ณ ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อเสร็จแล้ว พระองค์จึงได้ อธิษฐานบรรพชาเภท โดยมีท้าวฆะฏิการสุทธวาสพรหม ได้นำเครื่อง บริขาร 8 อัน เป็นธงชัยของพระอรหัตตผล มาถวาย ส่วนนายฉันนะ กับม้ากัณฐะกะ กลับสู่พระนคร ตามวรรณคดีของพระศาสนามาจนบัดนี้ ...คุณบุญชู วงษ์เจริญ จ.กาฬสินธ์ ออกศรัทธาสร้างปางนี้ อุทิศให้ พ่อจารย์ชม วงษ์เจริญ 19 เม.ย. 2521
เทวาลัย พระสิทธัตถะ ลาพระอาจารย์ เพื่อแสวงหาธรรมต่อไป
เทวาลัยปางนี้ คือ เมื่อภายหลังพระสิทธัตถะ ได้อธิฐานบรรพชาแล้ว ก็ได้เสาะแสวงหา สันติธรรม อันประเสริฐ เรื่อยไปในที่สุดพระองค์ ก็ได้เข้าศึกษา ในสำนักของพระอาฬารดาบสกาลามโคตร ผู้ได้สำเร็จอกิญจัญญายตนะญาณ ในไม่ช้าพระองค์ก็ได้สำเร็จ จึงได้ลาอาจารย์ ไปศึกษาสำนักอื่นอีกคือ สำนักของพระอุทกรามบุตรดาบส ผู้ซึ่งได้สำเร็จ เนวสัญญานา ลัญญายตนะญาณ พระองค์ได้ศึกษาในไม่ช้าก็สำเร็จ ต่อจากนั้นพระองค์ ได้พิจารณาเห็นว่า แนวทาง ของพระอาจารย์ดาบสทั้งสองนั้น ยังไม่ใช่หนทางดับทุกข์ ดังนั้นพระองค์ จึงได้ลาอาจารย์ดาบสทั้งสอง ไปแสวงหาโมกขธรรม ด้วยพระองค์เอง ตามวรรณคดีของพระศาสนา มาจนบัดนี้ ... ร.ต.อ.ชุมพร ไวยาวัฒน์ อ.เมือง จ.หนองคาย ออกศรัทธาสร้าง 30 เม.ย. 2521
เทวาลัย พระสิทธัตถะ บำเพ็ญเพียร
เทวาลัยปางนี้ คือ เมื่อพระสิทธัตถะได้ศึกษาในสำนักของดาบสทั้งสอง จนสิ้นภูมิธรรมของพระฤาษีแล้ว พระองค์จึงได้กราบลาอาจารย์ทั้งสอง เพื่อบำเพ็ญต่อไป โดยมีพระปัญจวัคคีย์คือ พระโกณทัณญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ พระอัสสชิ ได้ติดตามปรนนิบัติ อุปฐากพระองค์ และพระองค์ได้ทำความเพียรด้วยอาการต่างๆ เช่น กดฟันบนเพดานด้วยลิ้น กดจิตด้วยจิต ในที่สุด ก็ทรงอดอาหาร จนร่างกายซูบผอม ขนล่วงหลุด จากขุม เหลือเพียง หนังหุ้มกระดูกเท่านั้น ถึงแม้ว่าพระองค์ จะทำความเพียรอย่างแรงกล้า ก็ยังไม่สำเร็จ พระองค์ได้อดอาหารทรมานร่างกาย อยู่นานถึง 49 วัน ดังนั้นจึงร้อนถึงองค์อินทร์ ก็คือท้าวสักกะเทวราชจอมเทพทั้งหลาย จึงได้เสด็จลงมาดีดพิณสามสายให้ฟัง ดังนั้นพระองค์จึงได้สติ ยึดมัชฉิมเดินทางสายกลาง พระองค์จึงได้เลิกทำทุกกรกิริยา กลับมาเสวยอาหาร เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น เมื่อปัญจวัคคีย์ทั้งห้าเห็นดังนั้น จึงได้พากันหนีจากพระองค์ โดยสำคัญว่า พระองค์เลิกความเพียรเสียแล้ว ตามวรรณคดีของพระศาสนา มาจนบัดนี้ ...ศาลาแก้วกู่ ร่วมกับนักบุญที่มาเที่ยว เป็นผู้ออกศรัทธาสร้าง เมื่อ 20 เม.ย. 2521
เทวาลัย พระแม่สุชาดา ถวายข้าว มธุปายาส
เทวาลัยปางนี้ คือ พระแม่สุชาดา ถวายข้าวมธุปายาสแก่พระโพธิสัตว์ องค์สรรพพัญญูก่อนตรัสรู้ คือหลังจากองค์พระบรมโพธิสัตว์ ได้ทรงเลิกบำเพ็ญทุกขกิริยหันมาเสวยอาหาร จนมีพลานามัยสมบูรณ์ดีแล้ว พระองค์จึงได้เจริญอานาปานุสติ กรรมฐาน เป็นที่ตั้ง จนถึงวันเพ็ญเดือน 6 (ก่อนตรัสรู้ 6 ปีพอดี) กาลครั้งนั้นได้มีพระแม่สุชาดาเศรษฐี ตำบลเสนานิคม ได้บนบานเทวดาอารักษ์ ต่อมา คำอธิษฐานนั้น ก็สมปรารถนาทุกประการ แม่พระสุชาดา จึงได้ทำพิธีหุงข้าวมธุปายาส เพื่อนำไปแก้บนแด่เทวดา ด้วยอุดมปุณมีดิถีฤกษ์ มหามงคลอรุณกาล ของวันเพ็ญแห่งวิสาขะมาส องค์พระบรมโพธิสัตว์ ได้ไปประทับพระอริยบถสำราญอยู่ที่ต้นไทร ซึ่งเป็นสถานที่ๆ พระแม่เจ้าสุชาดาได้บนบานเอาไว้ เมื่อได้เวลาแล้ว พระแม่สุชาดา พร้อมด้วยทาสีได้นำข้าวมธุปายาส ไปแก้บน ณ สถานที่นั้น ได้เห็น พระบรมโพธิสัตว์ คิดว่าเป็นเทวดา จึงได้นำข้าวมธุปายาส เข้าถวายแด่องค์พระบรมโพธิสัตว์ ตามวรรณคดีของพระศาสนา มาจนบัดนี้ ...พ่อใหญ่จ่อง อุดมชาลี จ.ร้อยเอ็ด ออกศรัทธาสร้าง 16 พ.ค. 2521
เทวาลัย สักกะอัมรินทราธิราช สรรเสริญ พระพุทธเจ้า
เทวาลัยปางนี้ คือ หนึ่งในปัญจเทวาแห่งฎีกานโมกถา ดังบาลีกล่าวว่า "อรหโตสักโกตถา" อรรถกถานี้ สักกะอัมรินทราธิราช ได้กล่าวสรรเสริญ สดุดี พระเกียรติ พระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า นับตั้งแต่วันปรมาภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ภายใต้โพธิบัลลังก์ ในราตรี วันเพ็ญเดือน6 ต้นพุทธกาล พระอินทร์องค์นี้ เป็นจอมเทพทั้งหลาย มีวิมานชื่อว่า "เวชยันต์" อยู่ในสวรรค์ดาวดึงส์ ทรงมีพระมเหสี 4 พระองค์ คือ 1.พระแม่สุธัมมา 2.พระแม่สุนันทา 3.พระแม่สุจิตตรา 4.พระแม่สุชาดา และยังมีช้าง "เอราวรรณ" เป็นพาหนะ ท้าวสักกะเทวราชองค์นี้ มีคุณประการ เป็นอันมากต่อพระศาสนา ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตามอุปถัมป์อารักขาภิบาล พระพุทธองค์เปรียบดุจ สามเณรตามรับใช้ ภิกษุฉันใด ก็ฉันนั้น อีกประการหนึ่ง จัดว่าสำคัญยิ่ง ก่อนพุทธปรินิพพาน ท้าวสักกะอัมรินทราธิราช ได้ทูลอาราธนา พระศาสนาจากพุทธองค์ 1000 ปี ทั้งพระอานนท์ขอ 1000 ปี และจาตุมหาราชขอ 500 ปี รวม 2500 ปี ศิริรวมทั้งพุทธดำริ 2500 ปี ฉะนั้นในศาสนายุกาล ของพุทธองค์ทั้งหมด 5000 ปี นับว่าท้าวสักกะเทวราชองค์นี้ ได้มีจิตอนุเคราะห์ แก่มนุษย์และเทวดา อย่างมากมาย ตามวรรณคดีของพระศาสนา มาจนบัดนี้ ...เฒ่าแก่กิมอู๋ แม่เหง้า แซ่เอีย จ.หนองคาย ออกศรัทธาสร้าง 19 ก.พ. 2522
เทวาลัย พระพุทธเจ้า ปางห้ามญาติ
เทวาลัยปางนี้ คือ พระศาสดาห้ามพระญาติ เนื่องด้วยการทะเลาะวิวาทกัน ระหว่าง กษัตริย์โกลิยะวงศ์ และศากยะวงศ์ ไม่สามารถตกลงกันได้ การทะเลาะจาก ชนกลุ่มน้อย ลุกลามไปถึงชนกลุ่มใหญ่ กษัตริย์ทั้งสองนคร ต่างก็ยกทัพเข้าทำสงคราม พระศาสดาทรงทราบเหตุความ หายนะ มาสู่ประยูรญาติทรงจินตนาการว่า ถ้าตถาคตไม่ไปหมู่ญาติจักพินาศ จึงเสด็จไปโดยพระองค์เดียว ประทับนั่งอยู่บนรัตนบัลลังก์ กลางอากาศ หมู่ประยูรญาติเมื่อเห็น พระศาสดาจึงวางอาวุธถวายบังคม พระศาสดาตรัสถามว่า ทะเลาะกันเรื่องอะไรมหาบพิตร เมื่อสดับคำกราบทูนแล้ว เรื่องน้ำเป็นต้นเหตุแห่ง การบาดหมาง จึงมีพุทธฎีกาตรัสถาม น้ำกับกษัตริย์องค์หนึ่งๆ อย่างไหนมีค่ามาก พระญาติทูลตอบว่ากษัตริย์ดีกว่า พระเจ้าข้า ทุกอย่างก็สงบลง ตามวรรณคดีของพระศาสนา มาจนบัดนี้ ...คุณวินัย พุ่มจำปา(ผู้จัดการร้าน วินัยการยาง) จ.อุดรธานี ออกศรัทธาสร้าง 27 ก.ค. 2522 (เป็นพระประจำวันจันทร์)
เทวาลัย พระอินทร์ พระพรหม พระยมกาฬ ในสามโลกเทวาลัยปางนี้ คือ พระอินทร์ พระพรหม พระยมกาฬ ในสามโลก แห่งสวรรค์ อนันตจักรวาล ได้มาอัญเชิญ พระบรมโพธิสัตว์ เวสสันดรเทพบุตร (ดุสิตเทพบุตร) สถิตอยู่ชั้น ดุสิตสวรรค์ พระองค์ได้เสวยสุข สี่พันปีทิพย์ (เท่ากับ ห้าร้อยเจ็ดสิบหก ล้านปี ของเมืองมนุษย์ เมื่อหมดอายุ เทพหมื่นโลกธาตุ แสนโกฏิมหาจักรวาล จึงได้มีการอัญเชิญ ลงไปจุติตรัสรู้ เป็นพระโคดมพุทธเจ้า) ในชมพูทวีป แห่งมงคลจักรวาล เมื่อได้รับอัญเชิญนิมนต์แล้วพระองค์ จึงพิจารณามหาปัญจโลกนะ 5 ประการ คือ 1.กาลอายุ 2.ทวีป 3.ประเทศ 4.ตระกูล 5.พุทธบิดาพุทธมารดา แล้วทั้งสวรรค์ อนันตจักรวาล ก็จัดขบวนแห่ พระโพธิสัตว์ลงจุติ ตามวรรณคดีของพระศาสนามาจนบัดนี้ ...คุณประสิทธิ์ คำผอง จ.สกลนคร ออกศรัทธาสร้างเพื่ออุทิศให้พี่ชาย คือ คุณสว่าง คำผอง ผู้ล่วงลับไปแล้ว 15 มี.ค. 2521
ทางเข้าเมือง กายะนคร ศาลาแก้วกู่
ทางเข้า เมืองกายะนคร สอนสัจธรรม - กงกรรม กงเกวียนหมุนเวียน สัตว์โลกทั้งหลายให้เป็นไปตามกรรม วิบากของตนสร้างเอาไว้ ... มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีทุกข์ มีสุข มีสรรเสริญ มีนินทา
เทวทูต ผู้ชี้ขาด สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม
นี่คือ เทวทูต ผู้ชี้ขาดให้การเกิด กัมมุนา วัฏฏะติโลโล สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม
เด็ก ไร้เดียงสา ยังไม่เห็นแสงธรรม
มีกรรมเป็นเด็กไร้เดียงสา ยังไม่เห็นแสงธรรม จึงหมุนไปตามกงกรรมกงเกวียน
เทวาลัย พระเทวธาตุ วาโยอสุรา(ธาตุลม)
เทวาลัยปางนี้ คือ พระเทวธาตุ ตามธรรมโลกธาตุบัญญัติไว้ว่า "วาโยอสุรา" มีอสูรพิภพ โดยองค์สัมภวะธาตุ ได้มอบให้พระพราย และพระเพยลงมา ตั้งธาตุลม ในขณะที่สัมถวะธาตุ หรือประชุมธาตุ ตามวรรณคดีของโลกธาตุ หรือเมืองกายะนคร ...เฒ่าแก่กิมอู๋ แม่เหง้า แซ่เอีย จ.หนองคาย ออกศรัทธาสร้าง 1 เม.ย. 2522

..ในเมืองกายนะ จะมีเทวลัยทั้ง 4 พระผู้สร้างทั้ง ดินน้ำลมไฟ เทวลัยนี้คือตัวอย่างธาตุลม)
 
เทวาลัย พระกามเทพ ผู้บงการพระยาจิตราช
นี้คือพระกามเทพ เป็นผู้ชี้ขาด บงการสั่งงาน ให้พระยาจิตราช กระทำตามอำนาจกรรมเก่า กรรมใหม่ ให้ปรุงแต่งขึ้น ตามอำนาจกรรมดีกรรมชั่ว
หน้าพระยาจิตราช (หน้าทั้ง 3) 1.หน้าบุญ 2.หน้าบาป 3.หน้าไม่บุญไม่บาป
ภายในเมือง กายะนคร ศาลาแก้วกู่
เทวาลัย พระเจ้าย่าทวดแอไค่
เทวาลัยปางนี้คือ พระเจ้าย่าทวดแอไค่ (พระอุมาหรือพระสันติ) เป็นพระบรมราชินีของนาคพิภพ ตามวรรณคดีของอิสานกล่าวว่า ตอนพระนางแอไค่ กับขุนเทือง รักสู่กัน อยู่ที่อุทยานสวนดอกไม้ จากนั้นพระนาง แอไค่ได้นำขุนเทือง ออกจากอุทยานสวนดอกไม้ ไปยังพิภพนาค ตามกฏมณเฑียรบาล ของนาคพิภพ แล้วมนุษย์กับนาคจะอยู่ร่วมกัน ไม่ดังนั้นพระนางแอไค่ จึงนำเอาขุนเทืองไปซ่อนไว้ในปรางปราสาท เขาพระสุเมรุ อันเป็นที่ตั้งของสวรรค์ ดาวดึงส์พิภพ พระนางแอไค่ได้พะเน้าพะนอสมสู่กับขุนเทืองนาน 7 ปี 7 เดือน 7 วัน จนทำให้พระนางแอไค่ลืมเหตุแห่งกาลของตน (กาลสงกรานต์) ดังนั้นดินฟ้าอากาศเกิด แห้งแล้ง จึงทำให้เกิดความเดือดร้อนไปทั่วทั้งสามโลก จากนั้นพระนางแอไค่จึงได้สำนึกตน รู้ว่าพระนางทำผิดกฏมณเฑียรบาล ของสามโลก พระนางแอไค่ได้บอกความจริงต่อขุนเทือง แล้วพระนางแอไค่จึงลงมาเล่นน้ำ และยังสั่งขุนเทืองไว้ว่า อย่าได้เปิดหน้าต่างหรือเปิดประตู ดูตอนพระนางแอไค่เล่นน้ำ พอสั่งแล้วพระนางแอไค่พร้อมบริวาร ก็ได้แหนแห่ไปเล่นน้ำปฐพีเบื้องล่าง เสียงดังตุ้มๆ สะเทือนทั่วแดน ขุนเทืองท้าว ได้ยินเสียง แตกต่างเลยเปิดประตูหน้าต่างมามองดู จึงรู้ว่าพระนางแอไค่เมียตน เป็นนาคนาโค ตามวรรณคดี ของภาคอิสาน มาจนทุกวันนี้ ...ชาวสำนักพุทธมามกสมาคม และท่านผู้ใจบุญที่มาเที่ยว เป็นผู้ออกศรัทธาสร้างปางนี้
 

Blogger news



Blogroll



About